ผู้เขียนได้ไปจังหวัดเชียงราย เหมือนเช่นทุกๆปี แน่นอนหละครับ มื้อเช้า ก็ต้องต้มเลือดหมูที่หอนาฬิกา เสร็จแล้วก็กาแฟเย็นหนึ่งแก้ว เดินผ่านร้านซาลาเปา เพื่อเอาไปฝากพนักงาน เมื่อสองปีที่แล้ว เปิดใหม่ๆเห็นใช้คอมพิวเตอร์เอาไว้ออกบิล เก็บยอดขาย แต่มาวันนี้ เหลือแค่ลิ้นชัก เก็บเงินอันเดียวแล้วครับ คงคิดว่า ยุ่งยาก วุ่นวายมั้ง มือทำนั่นแหละง่ายดี เดินผ่านร้านข้าวแกงราชบุรี ถัดมา ก็เป็นข้าวแกงเมืองเพชร(เพชรบุรี) ถัดไปอีกร้านชื่อร้านข้าวแกงศรีตรัง มาจากภาคใต้ครับ การแข่งขันสูงมากครับ
พูดเรื่องการแข่งขันสูง ต้องนี่เลยครับ โรงแรม B2(B2HOTEL.COM) ทำไมต้อง B2 Bแรกคือ Boutique Bที่สองคือ Budget (หมายความว่าโรงแรมราคาไม่แพง) ก็เลยเป็น B2 สโลแกนของเจ้าของก็คือ โรงแรมในพื้นที่ 5 ดาว แต่ขายในราคา 3 ดาว อันนี้คอนเฟอร์มครับ ผู้เขียนไปพักมาแล้วครับ โรงแรมราคา 500 บาท ทางเดินกว้างขวาง ห้องให้คีย์การ์ด ตบแต่งเยี่ยม เข้าหลักการครับ บูติด ราคาถูก นี่ถ้าพักอย่างนี้ที่กรุงเทพต้องจ่ายหลัก 1000 บาทครับ โดนครับ มีไวไฟฟรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่โรงแรมต้องมี แล้วก็ไม่หวงด้วยครับ 1 รหัสต่อ 1 เครื่อง จะหยิบรหัสกี่ใบเพื่อไปใช้งานกี่เครื่องก็ได้ โรงแรมที่มาเลเซียนี่ให้ใช้ไวไฟแค่ห้องละ2 ใบ เท่านั้น โรงแรมพี่ไทยเรายืดหยุ่นกว่าครับ ห้องก็กว้างกว่า ไม่ใช่เท่ารูหนูกระจกก็เปิดไม่ได้ นี่แหละครับจุดแข็งของประเทศไทย
แล้วไงครับ B2 เขียงรายมีอยู่ 2 แห่งแล้วครับ ความเปลี่ยนแปลงของตลาดธุรกิจโรงแรมที่นี่ก็คือ โรงแรมเก่าที่เปิดมาก่อน ต้องปรับตัวเป็นการใหญ่ บางโรงแรมต้องขึงป้ายผ้าบอกว่า ราคาเริ่มต้นที่ 350 บาท ฟรีไวไฟ บางโรงแรมบอกว่าราคา 600 บาท รวมอาหารเช้าแล้ว มองในแง่ผู้บริโภคถือว่าดีครับ เราจะได้สินค้าดีราคาถูก แต่ในแง่ผู้ประกอบการท้องถิ่น นั่นเหนื่อยครับ ทุนกรุงเทพ ลงไปต่างจังหวัด พาเหรดกันไปเป็นแถว ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม แล้วธุรกิจท้องถิ่นจะอยู่กันอย่างไรครับ ก็ต้องเก่งหละครับ ไม่งั้นก็บ๊ายบาย ไปก่อนละ
ร้านโอ๋กะจู๋
ที่เชียงใหม่ มีห้างเซ็นทรัลเปิด ตรงแยก หัวมุมสี่แยกเลยครับ ที่เรียกว่าแยกศาลเด็ก จอทีวีใหญ่มาก มหึมา ซึ่งผู้เขียนไม่เคยเห็นธุรกิจไหนมีจอภาพใหญ่แบบนี้มาก่อน
ที่วงแหวนรอบที่ 3 และ 4 ของเชียงใหม่ มีหมู่บ้านและธุรกิจร้านอาหารเปิดขึ้นเยอะมาก มีร้านหนึ่งเน้นปลูกผักปลอดสารพิษมาขาย เน้นขายสลัดผัก และอาหารที่มีผักเป็นเครื่องเคียง ชื่อร้านโอ๋กะจู่ คงเป็นชื่อของคนสองคน ได้ข่าวว่าเป็นพี่น้องกัน เวลาพนักงานรับออเดอร์เสร็จ พนักงานจะเอาใบออเดอร์ไปบันทึกที่คอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ที่อยู่กลางร้าน เท่าที่สอบถามพนักงาน เมื่อบันทึกเสร็จแล้ว ข้อมูลก็จะวิ่งไปที่ห้องครัว และบาร์เครื่องดื่ม เพื่อทำอาหาร และนำเครื่องดื่มมาเสริฟที่โต๊ะ ที่ได้บันทึการสั่งอาหารลงไปในเครื่อง เวลาเช็คบิลที่แคชเชียร์ก็จะมีเครื่องอีกเครื่องหนึ่ง ก็จะเรียกโต๊ะนั้นๆขึ้นมา แล้วก็กดว่าเช็คบิล ออกมาทันที ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข เพราะราคามีอยู่ในระบบแล้ว ยอดรวมเงิน ก็จะสรุปออกมาให้เลย พนักงานก็เอาบิลไปเก็บเงินได้เลย ไม่เสียเวลา แน่นอน ดูดี
สวนสยาม
สุดท้ายครับ กลับมาที่กรุงเทพครับ ไม่เคยไปเลยครับตั้งแต่เด็กเคยดูแต่ในโฆษณาที่เค้าพูดว่าทะเลกรุงเทพ เออ แน่นอนใครพูดถึงสวนสยามก็จะนึกถึงสวนน้ำแต่จริงๆได้ไปแล้วมันไม่ใช่ครับเครื่องเล่นต่างๆที่มีก็หลากหลายพอสมควรคุ้มครับ เหมาจ่าย500บาทเล่นได้ทุกชิ้น เล่นน้ำฟรีด้วย อยู่กันทั้งวันละครับ แต่ที่จะพูดนี่คือระบบคอมพิวเตอร์ที่เค้าใช้งานว่ามันเป็นอย่างไร ตอนแรกที่เข้าไปเลยก็ งงฟนะครับ ไม่รู้ว่าจะเดินทางไหนปกติก็ต้องไปห้องขายตั๋วครับ แต่นี่เราต้องเดินไปที่เค้าเตอร์นี้ก่อน เพื่อรับกระดาษใบเล็กๆที่เค้าเรียกวาาออร์เดอร์หรือใบสั่งซื้อตั๋ว มีไว้ทำไมครับเจ้าใบนี้ รายละเอียดในกระดาษใบนี้ก็คือ ผู้ใหญ่กี่คน เด็กกี่คนเป็นเงินเท่าไหร่ ออเข้าใจละ หลังจากนั้นก็เอากระดาษใบนี้ไปยืนเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่ก็จะฉีกตั๋วมาให้พร้อมทั้งแถบกระดาษเล็กๆยาวๆมีแถบบาร์โค๊ดพิมพ์อยู่ด้วย บัตรหนึ่งใบต่อกระดาษแถบบาร์โค๊ดหนึ่งอัน มีเจ้าหน้าที่ ที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า คอยเอาแถบบาร์โค๊ดติดที่ข้อมือของลูกค้าแต่ละคนโดยมีแผ่นสติกเกอร์เล็กอีกใบ ทำหน้าที่เชื่อมเจ้าแผ่นบาร์โค๊ดนี้ไม่ให้หลุดจากข้อมือเรา หลังจากนั้นก็เดินเข้าสวนสยามโดยมีเจ้าหน้าที่ถือตัวยิง ยิงใบที่แถบบาร์โค๊ดบนข้อมือของลูกค้า เสร็จแล้วครับตอนเข้า ตอนออกสวนสยามปิดไม่มีการยิงบาร์โค๊ดออก พนักงานกลับบ้านหมดแล้วครับ ถ้ามีการยิงท่านผู้อ่านลองคิดตามนะครับจะเป็นการเช็คเลยหละครับว่ามีคนตกค้างอยู่ด้านในอีกหรือไม่?แต่ก็ลำบากครับเท่าที่เห็นมีแค่ตัวยิง ไม่ทราบว่ามีการทำซอฟต์แวร์อะไรอย่างไรบ้าง
-เอาหละครับเรามาลองวิเคราะห์ระบบที่สวนสยามใช้กันครับ
-ซ้ำซ้อน ทำไมไม่พิมพ์บาร์โค๊ดไว้ที่บัตรเข้าเลย แล้วก็ไม่ต้องใช้แถบบาร์โค๊ดยาวๆมาติดที่ข้อมือ ทำเพื่ออะไร?
-ใช้คนเยอะ ตั้งแต่มีการสอบถามว่าเด็กกี่คน ผู้ใหญ่กี่คน มีคนคอยเขียนเพื่ออะไร คนที่มาเที่ยวคงทำเองได้ ก็แค่ติดตั้งเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติที่หน้าทางเข้า เสร็จแล้วระบบก็พิมพ์บัตรเข้าพร้อมบาร์โค๊ดออกมา เดินเข้าสวนสยามก็ไม่ต้องมีคนมาช่วยติดแถบบาร์โค๊ดที่ข้อมือ ไม่ต้องมีคนคอยยิงบาร์โค๊ด ใช้ระบบยิงบาร์โค๊ดที่เชื่อม กับการปิดเปิดทางข้าเลย เมื่อเอาบัตรไปแตะที่เครื่องอ่านประตูก็เปิดเอง เข้าไปได้ครับ ขาออกตอนลูกค้ากลับก็ให้แตะบัตรออกอีกรอบ ทำไมหรือครับ ก็เพื่อเช็ควาามีใครติดค้างอยู่ด้านในหรือเปล่าอันนี้ซีเรียสนะครับ อีทีจอดรถเก็บเงินค่าจอด10บาท แล้วให้บัตรเราเก็บไว้ ตอนจะเอารถออกบังคับเก็บบัตรคืนเลย แล้วผู้เขียนถามว่าคนสำคัญกว่ารถ หรือรถสำคัญกว่าคน ทำไมไม่เช็คครับ ออแล้วเรื่องเก็บเงินค่าที่จอดรถ ใครเค้าคิดกันครับ คิดเงินได้อย่างไรครับ ตกลงว่าทำธุรกิจที่จอดรถ หรือสวนน้ำครับ ต้องการค่าบัตร500บาทหรือค่าที่จอดรถ10บาท งง มากครับ หรือไม่ก็เอาค่าที่จอดไปเป็นส่วนลดค่าบัตร อย่างนี้น่าจะสวยกว่า บอกตรงๆครับ เสียความรู้สึกตั้งแต่แรกเข้าเลยครับ ขอแถมอีกนิดที่ด้านหน้าทางเข้าไม่ค่อยมีสีสันอะไรเลยครับที่จะดึงดูดให้คนเข้าไปใช้บริการ ซึ่งจริงๆมันน่าจะมีกิจกรรมอะไรซักหน่อยมั๊ยครับ
-ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อยอยู่