403 Forbidden

แสดงหัวข้อทั้งหมด

ในหนังสือ Newsweek ฉบับ August 23&30 ,2010  ที่ผู้เขียนซื้อมาบอกว่า ประเทศที่ติดอันดับที่ 4 ของโลก คือ ออสเตรเลีย   เนื่องจากเราเป็นคนไทย ก็อดไม่ได้ที่จะรีบหาว่าประเทศของเราติดอันดับที่เท่าไหร่ ของโลก  อันดับที่ 58 ครับท่านผู้อ่าน  เราแพ้สิงคโปร์ ที่ได้อันดับ 20  แต่ชนะจีนที่ได้อันดับ 59 แล้วเราแพ้มาเลเซีย อันดับ 37  แต่ก็ชนะฟิลิปปินส์อันดับ 63   อินโดนิเชียอันดับ 73  เวียตนามอันดับ 81  แล้วอันดับที่ว่า นี่มีทีมา อย่างไร ????   มั่วหรือเปล่า  Newsweek  เค้าก็บอกว่ามีปัญจัยในการวัดรอบด้าน ทั้งการเป็นอยู่, การศึกษา ,สุขภาพ  ฯ รายละเอียดหาซื้ออ่านได้ตามแผงหนังสือ  หน้าปกตามรูปภาพที่นำมาประกอบบทความ  (เห็นธงชาติไทยแล้วก็อดภูมิใจลึกๆไม่ได้ ท้ายเล่มของหนังสือฉบับนี้  แผ่นสุดท้าย มีบทสัมภาษณ์ ท่านรัฐมนตรี กรณ์  รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของไทยด้วยนะครับท่าน)

แล้วปัจจัยอะไร ทำให้ เราได้แค่อันดับ 58 ล่ะ  ???

นี่คิดเอาแบบผู้เขียนคิดเลยนะครับ เพราะมีประสบการณ์ตรง คืออยู่ประเทศไทยอันดับที่ 58  แล้วก็มาอยู่ประเทศอันดับ 4 ของโลก มาซักพักแล้ว  จับจากความความคิดเห็น ความรู้สึก และเหตุผลส่วนตัวกันเลยทีเดียว

-ความเป็นระเบียบของคน  ผิดกันครับ ที่นี่เค้ารู้จักคำว่า เข้าคิว  รู้จักคำว่า รอ, รอคอยเป็น ไม่รัดคิว ไม่เอาเปรียบกัน  ที่เมืองไทยต้องมีเพลง เกี่ยวกับการเข้าคิว ถ้าจำไม่ผิดนะครับ  แต่เอาเป็นว่าคนไทยชอบรัดคิว เหมือนการขับรถ ปาดไปปาดมา   นิดเดียวก็จะไป ทั้งที่ค่อยๆ ไปก็อาจจะเร็วกว่าอีก

-การศึกษา  ประเทศนี้เป็นประเทศที่ขายการศึกษา หากินกับการศึกษา การศึกษามีมาตรฐาน รัฐบาล มีรายได้เข้าประเทศจากการศึกษา เป็ฯอันดับต้นๆ  ทรัพยากรต่างๆแทบสู้บ้านเราไม่ได้ พื้นที่  ที่ใช้งานได้จริงๆ มีไม่ถึง 50%

-กฎหมายเป็นกฎหมาย   เอาจริง บังคับใช้จริงจัง  ไม่เลือกปฎิบัติ มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายตลอดเวลา ให้ทันสมัย เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน  ไม่ล้าหลัง  เรียกว่า ทันเกมส์กันคนขึ้โกง  ว่างั้นเหอะ    ขับรถเกินกำหนดความเร็ว ก็ได้รับจดหมายค่าปรับ   ขับรถผิดเลนในซิคนีย์ ก็ได้ค่าปรับส่งมาถึงบ้าน (อันนี้พี่ชายของผู้เขียนเจอมากับตัวดันไปขับรถในเลนรถบัส)

-หาเงินเก่งนะประเทศนี้  แม้กระทั่งที่จอดรถ ยังสามารถ ทำเป็นรายได้ เป็นกอบเป็นกำ  อย่างชัดเจน  แล้วก็ไม่ได้ให้จอดนานนะ   เงินภาษีก็เก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้กระทั่งนักเรียนก็สนับสนุนให้ทำงาน มี Tax Number เสียภาษี  แล้วอะไรๆก็เป็นเงินไปหมด    ธุรกิจร้านอาหาร ก็ต้องเสียค่าตรวจสอบรายปี  รายครั้ง  บางทีสองครั้งต่อปี  เรียกว่าได้ทั้งเงิน ได้ทั้งคุณภาพของธุรกิจ  ทั้งขึ้นทั้งร่อง   เค้าเรียกว่า หาเงินบนความถูกต้อง  ไม่ต้องไปหลบเอาเงินใต้โต๊ะกันเลยหละ เอากันบนโต๊ะ  รายได้เยอะ   คืนกลับให้ประชาชนได้  นี่ก็คือรัฐสวัสดิการจริงๆ ที่ไม่เหมือนประเทศอันดับที่ 58 ที่กำลังจะพยายามทำอยู่ตอนนี้

-ระบบสาธารณูปโภคดี   ทั้งการขนส่ง  การสื่อสาร  ยกตัวอย่างชัดๆ เรื่องรถไฟ มีวิ่งจากนอกเมือง ส่งคนเข้าเมือง ทุกคนไม่ต้องใช้รถส่วนตัว  มาตรง เวลา  สะอาด  ไม่ต้องใช้คนเยอะ ระบบขายตั๋วอัตโนมัติ   การสื่อสารก็ 3 G เล่นอินเตอร์เน็ตได้ที่มือถือ ทุกที่ทุกเวลา  ประหยัดเวลา ประหยัดเงินในการติดต่อ ในการทำธุรกิจ  เรียกว่า จะใช้อีเมล์แทนการใช้โทรศัพท์กันแล้ว  ไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เลย  เพราะติดต่อทางเมล์มีหลักฐานดีกว่า  ชัดเจนกว่าด้วย เมืองไทย ยังคุยกันไม่หยุดเลย  ว่าจะมี 3G กันเมื่อไหร่ ???

เหนือสิ่งอื่นใด ผู้เขียนคิดว่า ปัจจัย ต่างๆขั้นต้นที่กล่าวมานั้น ไม่สามารถรัน  หรือ เซ็ทได้เลยถ้าไม่มีปัจจัย ในเรื่องขีดความสามารถในการใช้ไอที ของแต่ละประเทศ  เป็นตัวหลัก หรือ Back Bone ของแต่ละเรื่อง  การศึกษาที่นี่ก็สามารถออก E-Visa ได้  , การจับความเร็วก็ใช้กล้องติดตั้งในที่ต่างๆ ที่ลิมิตความเร็ว แล้วถ่ายรูปรถที่มีความเร็วเกินกำหนดเก็บเอาไว้  แล้วก็ส่งไปพร้อมค่าปรับ ชัดเจนมาก , ที่จอดรถก็มีระบบเก็บเงินโดยใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ต้องใช้คนคุม  ,รถไม่ติดใบ e-pass ก็จะมีการส่งบิลค่าผ่านทางไปที่บ้าน ราคาค่าผ่านทางก็จะแพงกว่า รถที่มีสติกเกอร์ e-pass , ยิ่งเรื่องระบบสาธารณูปโภค ยิ่งต้องมีระบบไอที ควบคุมใหญ่ เพราะมีการเชื่อมระบบรถไฟ รถบัส หรือเรือโดยสาร  ทั้งหมด เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ของประเทศ  (อันนี้สามารถอ่านย้อนหลังได้จากบทความของผู้เขียน เรือง My train ,My bus ,My ferry,My multi)

แล้วอะไรยืนยันว่า สิ่งที่ผู้เขียนคิด ว่าไอทีคือพื้นฐานของการพัฒนาอันดับของประเทศให้สูงขึ้นได้

ผู้เขียนเข้าไป Search Google ประโยคที่ว่า ความสามารถทางด้านไอที ของประเทศต่างๆทั่วโลก  (เออ  มีคำถาม แล้วทั่วโลกมีกี่ประเทศกันหว่า ??? ถามแล้วครับ google บอกว่ามี 193 ประเทศครับ )  เจอเวบนี้เวบแรกครับ

http://www.108acc.com/index.php?mo=3&art=357099  ก็ได้คำตอบเลยว่าในปี 2522  ขีดการแข่งขันในด้านไอทีของไทย ล่วงจากอันดับ 42 เป็น 49  อีกข้อมูลหนึ่งบอกว่า ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 20 อันดับแรกของประเทศที่มีภาวการณ์แข่งขันในอุตสาหกรรมไอทีสูงที่สุดของโลก  ได้แก่ ออสเตรเลีย  สิงคโปร์  ญี่ปุ่น ไต้หวัน  และเกาหลีใต้  ที่มาจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ โดย เอกรัตน์ สาธุธรรม  ซึ่งอันดับที่ว่า โดยการสำรวจของ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจ้นซ์ ยูนิต หรือ อีไอยู (E.I.U)

สอดคล้องกันมั๊ยครับ??? ระหว่าง อันดับของประเทศในโลก กับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านไอทีของโลก

จากบทความเดิมข้างต้น  อันดับขีดความแข่งขันด้านไอทีสูงสุด ประเทศที่ 1 ถึง 5 คือ

1.อเมริกา              เป็นประเทศ อันดับที่  11 ของโลก

2.ฟินแลนด์           เป็นประเทศอันดับที่      1  ของโลก

3.สวีเดน               เป็นประเทศอันดับที่     3  ของโลก

4.แคนนาดา           เป็นประเทศอันดับที่     7   ของโลก

5.เนเธอร์แลนด์            เป็นประเทศอันดับที่    8  ของโลก

และเรามาดูอีก 4 ประเทศเอเชียแปซิฟิก ข้างต้นว่าติดอันดับที่เท่าไร ของโลกกันบ้าง

ออสเตรเลีย            เป็นประเทศ อันดับที่   4 ของโลก

สิงคโปร์               เป็นประเทศ อันดับที่  20 ของโลก

 ญี่ปุ่น                  เป็นประเทศ อันดับที่  9 ของโลก        

 เกาหลีใต้                      เป็นประเทศ อันดับที่ 15 ของโลก

สรุปว่า  ค่อนข้างที่จะมีแนวโน้มในทางเดียวกัน ที่ว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านไอทีสูง  ลำดับของประเทศในโลกของประเทศนั้นๆก็สูงตามไปด้วย (จากข้อมูลข้างต้น จะเป็นว่าประเทศ สวีเดน ขีดความสามารถทางด้านอี ได้อันดับตรงกับอันดับของประเทศในโลก คืออันดับที่ 3)  ทั้งนี้เพราะ หลายสิ่ง หลายอย่างที่จะพัฒนา ขึ้นอยู่กับ การนำเอาระบบไอที ไปช่วยจัดการแทบจะทุกเรื่อง    หรือ  ท่านผู้อ่านคิดว่าไม่จริงครับ ?????